สัญลักษณ์ประจำชาติไทย
พวกเราคงทราบกันดีแล้วว่า สัตว์ ดอกไม้ และสถาปัตยกรรม ที่เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ คือ "ช้างไทย" หรือ "Chang Thai" (Elephant) ดอกราชพฤกษ์ หรือ Ratchaphruek (Cassia fistula Linn) และ "ศาลาไทย" หรือ "Sala Thai" (Pavilion)
แต่บางท่านอาจยังมีไม่ทราบเหตุ ผลที่คณะกรรมการเอกลักษณ์ ของชาติ ลงมติเลือก ช้างไทย ดอกราชพฤกษ์ และศาลาไทย เป็นสัญลักษณ์ประจำชาติ
ช้างเผือกเป็นสัตว์ที่มีความผู กพันเกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์ และประเพณีไทยมายาวนาน อีกทั้งช้างไทยเป็นที่รู้จั กแพร่หลายในสังคมโลก ดังนั้น เพื่อกระตุ้นสังคมไทยให้ระลึกถึ งช้าง สัตว์คู่บ้านคู่เมืองและคู่ป่า ทางราชการจึงกำหนดให้วันที่ 13 มีนาคม ของทุกปี เป็นวันช้างไทย (ภาพช้างเผือกบนพื้นแดง เป็นรูปของธงชาติสยาม ปี พ.ศ.2398-2459)
ส่วนดอกราชพฤกษ์ หรือ คูน เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จั กแพร่หลาย มีในทุกภาค ใช้ประโยชน์ได้สารพัด เช่น ฝักเป็นสมุนไพรในตำรับแพทย์ แผนโบราณ แก่นแข็งใช้ทำเสาเรือน เป็นไม้ที่มีชื่อเป็ นมงคลนามและอาถรรพ์ แก่นไม้เคยใช้ในพิธีสำคัญ ๆ มาก่อน เช่น พิธีลงหลักเมือง เป็นต้นไม้ที่มีอายุยื นนานและทนทาน มีทรวดทรงและพุ่มงาน ดอกเหลืองอร่ามเต็มต้น เป็นสัญลักษณ์แห่งพุทธศาสนา
แต่บางท่านอาจยังมีไม่ทราบเหตุ
ช้างเผือกเป็นสัตว์ที่มีความผู
ส่วนดอกราชพฤกษ์ หรือ คูน เป็นต้นไม้พื้นเมืองที่รู้จั
สำหรับศาลาไทย เป็นสถาปัตยกรรมที่สะท้อนภูมิปั ญญาช่างไทย มีความสง่างามที่โดดเด่ นจากสถาปัตยกรรมชาติอื่น จึงสมควรที่จะรักษาเอกลักษณ์ และส่งเสริมให้ชาวต่างชาติได้มี โอกาสชื่นชมศาลาไทย
ข้อสังเกต การใช้สัญลักษณ์ประจำชาติไทย
ในส่วนที่มีบุคคลหรือบริษั ทนำเครื่องหมายหรือภาพดังกล่ าวมาจดทะเบียนเป็นเครื่ องหมายการค้าและนายได้รั บจดทะเบียนไปให้แล้วนั้น กรมทรัพย์สินทางปัญญาได้ ประกาศไปแล้วว่า ผู้ที่ได้จดทะเบียนไปแล้วจะยั งคงได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย รวมถึงมีสิทธิในการใช้เครื่ องหมายการค้านั้นต่อไป แต่สำหรับผู้ที่เพิ่งยื่ นขอจดทะเบียนเครื่องหมายการค้ าที่มีสัญลักษณ์ประจำชาติ นายทะเบียนจะปฏิเสธไม่รั บจดทะเบียนให้
เหตุผลในการไม่รับจดทะเบียนเครื ่องหมายการค้าที่เป็นสัญลักษณ์ ประจำชาติ กล่าวคือ เพื่อให้เป็นสมบัติ กลางของคนไทยทุกคน เพื่อให้ทุกคนมีสิทธิในการใช้ เพื่อให้เป็นที่รู้จักกันในหมู่ ประชาคมโลก จึงไม่ควรที่จะนำมาให้ ใครคนใดคนหนึ่งจดทะเบียนเป็นเจ้ าของสิทธิเพียงผู้เดียว และทันทีที่รัฐบาลประกาศใช้สั ญลักษณ์ประจำชาติ ทำให้คนไทยทุกคนทราบว่า ประเทศไทยมีสัญลักษณ์ประจำชาติ ที่อวดสู่สายตาชาวโลกได้แล้ว จึงถือเป็นเครื่องหมายการค้าที่ มีชื่อเสียงแพร่หลายได้การปฏิ เสธไม่รับจดทะเบียนจึงเป็ นการอาศัยอำนาจตามมาตรา ๘(๑๐) แห่งพระราชบัญญัติเครื่ องหมายการค้า พ.ศ. ๒๕๓๔ ซึ่งแก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบั ญญัติเครื่องหมายการค้า (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๓
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศให้ ภาพหรือสัญลักษณ์ประจำชาติไทยทั ้ง ๓ สิ่งนี้ เป็นเครื่องหมายต้องห้ามรั บจดทะเบียนตามมาตรา ๘(๑๓) ตามประกาศกระทรวงพาณิชย์ เรื่องเครื่องหมายที่ต้องห้ามมิ ให้รับจดทะเบียน (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๔๘ เมื่อวันที่ ๓๐ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๔๘ แล้ว ซึ่งรวมถึงเครื่องหมายที่มีหรื อประกอบด้วยลักษณะอย่างใดอย่ างหนึ่ง หรือคล้ายกับภาพสัญลักษณ์ ประจำชาติไทย ก็ต้องห้ามมิให้รับจดทะเบียนด้ วย
การห้ามมิให้รับจดทะเบียนนี้ เป็นการห้ามรับจดทะเบี ยนทางทะเบียน เพื่อมิให้ผู้ใดผู้หนึ่งอ้ างความเป็นเจ้าของเครื่ องหมายการค้านั้นแต่ผู้เดียว แต่มิได้ห้ามคนไทยที่จะใช้ ภาพหรือสัญลักษณ์เป็นเครื่ องหมายการค้ากับสินค้าของตน แต่การใช้ก็ควรที่จะอยู่ในลั กษณะที่ไม่เป็นการดูหมิ่นเหยี ยดหยาม และจะต้องไม่เป็นการใช้สิทธิที่ ไปกระทบถึงสิทธิของผู้อื่นด้วย ใช้อย่างไรเป็นการดูหมิ่นเหยี ยดหยามนั้น เป็นข้อเท็จจริงต้องพิจารณาเป็ นกรณี
แต่การนำสัญลักษณ์ประจำชาติ มาใช้เป็นเครื่องหมายการค้า แม้จะใช้โดยถือว่าเป็นสมบัติ โดยรวมของคนไทย ซึ่งคนไทยทุกคนมีสิทธิในการใช้ สัญลักษณ์นี้ก็ตาม แต่ต้องระวังด้วยว่า หากสัญลักษณ์ดังกล่าวมีบุคคลหนึ ่งบุคคลใดได้รับการจดทะเบียนเป็ นเครื่อองหมายการค้าไว้ก่อนแล้ วสำหรับสินค้าอย่างเดียวกัน หรือสินค้าที่มีลักษณะเดียวกัน อาจไปกระทบถึงสิทธิความเป็นเจ้ าของการค้าที่ได้รับจดทะเบี ยนของผู้อื่นได้ ตามหลักของกฎหมายเครื่ องหมายการค้า
อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๓ และมาตรา ๒๗๔ ได้บัญญัติให้บุคคลต้องรั บโทษทางอาญา หากมีกรณีปลอมหรือเลียนเครื่ องหมายการค้าของผู้อื่น ซึ่งได้จดทะเบียนแล้ วนอกราชอาณาจักร ดังนั้น การนำสัญลักษณ์ประจำชาติ ไทยไปใช้เป็นเครื่องหมายการค้า แม้จะใช้ในประเทศไทยก็ตาม ควรสำรวจตลาดสินค้าในขณะนั้นด้ วยว่ามีใครสั่งสินค้าที่มีเครื่ องหมายการค้าเป็นสัญลักษณ์ ประจำชาติไทย แต่ได้จดทะเบียนเป็นเครื่ องหมายการค้าไว้ในต่างประเทศ แล้วนำเข้ามาจำหน่ ายในประเทศไทยหรือไม่
ตามพระราชบัญญัติเครื่ องหมายการค้าฯ มาตรา ๘(๖) ได้บัญญัติห้ามนายทะเบียนรั บจดทะเบียน หากว่าเครื่องหมายการค้าที่ จะนำมาขอจดทะเบียนนั้นเป็ นธงชาติหรือเครื่ องหมายประจำชาติของรัฐต่ างประเทศ เว้นแต่จะได้รับอนุญาตจากผู้ซี่ งมีอำนาจหน้าที่ของรัฐต่ างประเทศนั้น จะเห็นได้ว่าในกฎหมายไทยยังไม่ ห้ามเด็ดขาด สามารถจะรับจดทะเบียนเครื่ องหมายการค้าประจำชาติของรัฐต่ างประเทศได้ หากมีการอนุญาตให้ผู้ขอจดทะเบี ยนนำไปจดทะเบียนในประเทศไทย โดยได้รับอนุญาตให้ผู้ซึ่งมี อำนาจหน้าที่ของรัฐต่างประเทศนั ้น
กฎหมายในลักษณะเช่นนี้ ในต่างประเทศก็บัญญัติไว้ ทำนองเดียวกัน ดังนั้น ประเทศไทยจะห้ามคนไทยนำสัญลั กษณ์ประจำชาติไทยไปจดทะเบียนเป็ นเครื่องหมายการค้าในต่ างประเทศหรือไม่ เป็นเรื่องที่น่าติดตาม แต่อย่างไรก็ตาม การแก้ไขกฎหมายเครื่องหมายการค้ าครั้งต่อไป ทางราชการได้เสนอแก้ไขกฎหมายให้ เครื่องหมายประจำชาติไทยเป็ นเครื่องหมายต้องห้ามรับจดทะเบี ยน ซึ่งห้ามมีการประกาศใช้ เครื่องหมายประจำชาติไทยจะเป็ นเครื่องหมายการค้าต้องห้ามรั บจดทะเบียนตามกฎหมาย มิใช่ตามประกาศของรัฐมนตรี โอกาสที่เจ้าของเครื่ องหมายการค้าที่ได้รับการรั บการจดทะเบียนไปก่อนหน้า อาจถูกเพิกถอนการจดทะเบียนได้ต่ อไป
สามารถเข้าไปดูอีกได้ที่ http://www.facebook.com/papelocho?fref=ts
เหตุผลในการไม่รับจดทะเบียนเครื
อย่างไรก็ตาม กระทรวงพาณิชย์ได้ประกาศให้
การห้ามมิให้รับจดทะเบียนนี้ เป็นการห้ามรับจดทะเบี
แต่การนำสัญลักษณ์ประจำชาติ
อนึ่ง ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๒๗๓ และมาตรา ๒๗๔ ได้บัญญัติให้บุคคลต้องรั
ตามพระราชบัญญัติเครื่
กฎหมายในลักษณะเช่นนี้ ในต่างประเทศก็บัญญัติไว้
สามารถเข้าไปดูอีกได้ที่ http://www.facebook.com/papelocho?fref=ts
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น